วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555



                 นกเงือก
นกเงือก เป็นนกขนาดใหญ่ ส่วนมากมักจะมีขนสีดำสลับขาว ทั่วโลกมี 55 ชนิด มีการแพร่กระจายอยู่ในแถบเขตร้อน ของทวีปแอฟริกา และเอเชีย
นกเงือกเป็นนกผัวเดียวเมียเดียว มีลักษณะการทำรังที่แปลกจากนกอื่น คือ เมื่อถึงฤดูกาลทำรัง นกคู่ผัวเมียจะพากันหารัง ซึ่งได้แก่ โพรงไม้ตามต้นไม้ใหญ่ เช่น ต้นยาง ที่อยู่ในที่ลับตา เมื่อตัวเมียเข้าไปอยู่ในโพรง จะทำความสะอาดแล้วเริ่มปิดปากโพรง ด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดิน เปลือกไม้ ตัวเมียจะขัง ตัวอยู่ภายในเพื่อออกไข่เลี้ยงลูก
นกเงือกในประเทศไทย
ประเทศไทยมีนกเงือก 13 ชนิด ได้แก่
1.นกกก (Hornbill, Great Indian Hornbill, Great Pied Hornbill) หรือที่รู้จักกันในชื่อ นกกะวะ หรือ นกกาฮัง เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์นกเงือก นกกกสามารถพบได้ในป่าของอินเดีย คาบสมุทรมลายูและสุมาตรา อินโดนีเซีย ด้วยขนาดและสีทำให้นกกกเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญเชิงวัฒนธรรมและพิธีกรรมในหลายชนเผ่า นกกกเป็นนกที่มีอายุยืน นกในกรงเลี้ยงสามารถมีอายุได้ถึง 50 ปี ปกติจะกินผลไม้เป็นอาหาร แต่บางครั้งจะกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์เลื้อยคลาน และนกเป็นอาหาร
รูปตัวอย่าง
           http://www.vcharkarn.com/uploads/237/238070.jpg https://encrypted-tbn1.google.com/images?q=tbn:ANd9GcSb1EMmboagzAF1Sgs2XO0dPFNQM0vtyXjlQIjc6DV27sYC5AowEQ


2. นกเงือกหัวแรด เป็นนกเงือกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีความยาวลำตัวประมาณ 120 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย โดยตัวเมียมีขนาดลำตัวเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย มีโหนกบริเวณหูและตาซีดกว่าตัวผู้ นอกนั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก ขนบนปีกและตัวสีดำ ท้องและหางมีสีขาวและมีแถบสีดำพาดตามขวางตรงใกล้ปลายหาง คล้ายกับนกกาฮัง โหนกบริเวณเหนือปากเป็นรูปโค้งขึ้นทางด้านบน ตรงโคนโหนกมีสีแดงบริเวณตอนหน้าของส่วนที่โค้งขึ้นทางด้านบน 
ถิ่นอาศัยและอาหาร พบในมาเลเซีย ส่วนในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป อาหารได้แก่ งู จิ้งเหลน กิ้งก่า ผลไม้ ลูกไม้ สัตว์เล็กๆพฤติกรรมและการสืบพันธุ์ ชอบอาศัยอยู่ตามป่าดงดิบในระดับความสูงไม่เกิน 4,000 ฟุต หรือ 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล มักเกาะบนกิ่งไม้สูง
พฤติกรรมการผสมพันธุ์ของนกเงือกหัวแรดเหมือนกับนกเงือกอื่น ๆ โดยทำรังไข่อยู่ตามโพรงไม้ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายหาอาหารมาเลี้ยงแม่นกและลูกนก ปัจจุบันมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 โดยสถานที่สามารถชมได้ในประเทศไทย คือ สวนสัตว์ดุสิต สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา
รูปตัวอย่าง
http://www.prc.ac.th/tree_an_teen/picture/b_rhiniceros.jpghttp://picpost.mthai.com/pic/10684/166859.jpg



3. นกเงือกหัวหงอก มีขนาดความยาวลำตัวประมาณ 90 เซนติเมตร ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะไม่เหมือนกัน ส่วนหัว คอ หน้าอก และปลายปีกของตัวผู้มีสีขาว นอกนั้นมีสีดำ ส่วนตัวเมียมีคอและตัวสีดำ ปากมีขนาดใหญ่สีเทาดำ ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีหงอนขนเป็นสีขาว
ถิ่นอาศัยและอาหาร พบในทวีปเอเชียแถบเกาะสุมาตรา บอร์เนียว มาเลเซีย เวียดนาม เทือกเขาตะนาวศรี สำหรับในประเทศไทยพบเฉพาะทางภาคใต้ และบางแห่งของภาคตะวันตก เช่นอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อาหารได้แก่ สัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดเล็ก เช่น งู จิ้งเหลน กิ้งก่า รวมถึงผลไม้ชนิดต่าง ๆ ด้วย เช่น ผลไม้ ลูกไม้
พฤติกรรมและการสืบพันธุ์ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ชอบส่งเสียงร้องดังอยู่เสมอ อาศัยตามป่าดงดิบชื้น ตั้งแต่ระดับเชิงเขาจนกระทั่งความสูง 600 เมตรจากระดับน้ำทะเลหรือสูงกว่า พฤติกรรมการผสมพันธุ์ของนกเงือกหัวหงอก เป็นลักษณะเดียวกับนกเงือกชนิดอื่น โดยตลอดชีวิตจะไม่มีการเปลี่ยนคู่เลย ตัวเมียจะวางไข่ในโพรงไม้ ตัวผู้เป็นฝ่ายหาอาหารมาป้อนแม่นกและลูกนก
รูปตัวอย่าง
http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTPZyh930MXWS6PbjILWfZ5-yMUT2CisE6hm8ff0XVrH8de7cUfokFe6nd9https://encrypted-tbn2.google.com/images?q=tbn:ANd9GcQeIlygAfKCOVvSi0g5ihaFg1cDB655OvqmfxmelkA73UDerXWX


4. นกชนหิน (Helmeted Hornbill) เป็นนกขนาดใหญ่ในวงศ์นกเงือก พบในประเทศไทย มาเลเซีย  สุมาตรา และบอร์เนียว
ลักษณะ นกเงือกชนิดนี้มีลักษณะเด่นกว่านกเงือกชนิดอื่นๆ ตรงที่สันบนจะงอยปากใหญ่หนาเนื้อในสีขาวคล้ายงาช้าง และมีขนหางพิเศษคู่หนึ่ง ซึ่งจะงอกยาวเลยขนหางเส้นอื่น ๆ ออกไปมากถึง 50 เซนติเมตร นกตัวผู้มีขนาดลำตัวยาวจากปลายจะงอยปากถึงปลายขนหาง 127 เซนติเมตร ขนลำตัวสีน้ำตาลเข้ม ใต้ท้องสีขาว หางสีขาวมีแถบสีดำพาดขวาง และปลายปีกสีขาวเป็นแถบกว้าง จะงอยปากตอนโคน และบนสันสีแดงคล้ำ ตอนปลายสีเหลืองเรื่อๆ บริเวณลำคอที่ไม่ขนในนกตัวผู้จะมีสีแดงคล้ำ ส่วนนกตัวเมียจะมีสีฟ้าซีดหรือสีฟ้า แต่นกวัยอ่อนเพศผู้ ลำคอจะมีสีแดงเรื่อ ๆ และนกเพศเมียหนังส่วนนี้จะเป็นสีม่วง นอกจากนี้สันบนจะงอยปากจะมีขนาดเล็กกว่า และขนหางยังเจริญไม่เต็มที่ มีลักษณะสั้นกว่านกโตเต็มวัย
อุปนิสัย ปกติจะหากินในระดับยอดไม้ กินผลไม้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ลูกไทร บางครั้งพบว่ากินสัตว์อื่น ๆ เช่น กิ้งก่า กระรอก และนกอีกด้วย มักจะอยู่โดดเดี่ยวหรืออยู่เป็นคู่ ฤดูผสมพันธุ์เริ่มราวปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำรังในต้นไม้สูง และใช้วัสดุปิดปากรังเช่นเดียวกับนกเงือกชนิดอื่นๆ นกชนหินมีเสียงร้องที่ไม่เหมือนนกชนิดอื่นๆ โดยนกตัวผู้จะร้องติดๆกันดัง ตู๊กตู๊ก ทอดเป็นจังหวะ ร้องติดต่อกันยาวเสียงร้องจะกระชั้นขั้นตามลำดับ เมื่อจะสุดเสียงเสียงร้องจะคล้ายเสียงหัวเราะประมาณ 4-6 ครั้งเมื่อตกใจจะแผดเสียงสูงคล้ายเสียงแตร
ถิ่นอาศัยและการกระจายพันธุ์ นกชนหินเป็นนกประจำถิ่นที่พบในป่าดิบชิ้นระดับต่ำ พบตั้งแต่แถบเทือกเขาตะนาวศรีลงมาทางใต้จนถึงประเทศมาเลเซีย สุมาตรา และบอร์เนียว
สถานการอนุรักษ์ ปัจจุบันนกชนหินจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1 และอนุสัญญาไซเตส จัดเอาไว้ในบัญชีที่ 1 นกชนหินถูกล่าอย่างหนักเพื่อเอาสันบนจะงอยปากบนไปแกะสลักทำเป็นเครื่องใช้และเครื่องประดับที่มีคุณค่าสูงมาก และจากการสูญเสียแหล่งอาศัย จำนวนประชากรจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนในทุกบริเวณที่อาศัย
รูปตัวอย่าง

http://picpost.mthai.com/pic/10684/166863.jpg http://www.sc.mahidol.ac.th/tha/research/images/hornbill3.jpg



5.นกแก๊ก หรือ นกแกง (อังกฤษ: Oriental Pied Hornbill, Anthracoceros albirostris) เป็นนกในวงศ์นกเงือก พบใน ประเทศบังกลาเทศ, ประเทศภูฏาน, ประเทศบรูไน, ประเทศกัมพูชา, ประเทศจีน, ประเทศอินเดีย, ประเทศอินโดนีเซีย,ประเทศลาว, ประเทศมาเลเซีย, ประเทศพม่า, ประเทศเนปาล, ประเทศสิงคโปร์, ประเทศไทย, และประเทศเวียดนาม มีถิ่นอาศัยในป่าดิบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน ปกติกินผลไม้จำพวกเงาะเป็นอาหาร
ลักษณะทั่วไป เป็นนกเงือกที่เล็กที่สุดในประเทศไทย บางแห่งชาวบ้าน จะเรียกว่า นกเงือกเล็ก นกตัวผู้ มีความยาวจากปลายปาก ถึงปลายหาง 89 ซม.แต่นกตัวเมีย มีขนาดตัวเล็กกว่า คือยาวเพียง70 ซม. นกตัวผู้และนกตัวเมียสีสันคล้ายกัน แยกความแตกต่างได้ยากคาง ใต้คอ หน้าอกส่วนบน และ ส่วนบนของลำตัวตั้งแต่หัวหลังคอ หลัง ตะโพก และขนคลุมบนโคนหางสีดำสนิท มีเหลือบเขียวเล็กน้อยดูเป็นมัน ปีกสีดำเหลือบเขียว ขนปลายปี ยกเว้น 2 เส้นนอกสุด และ ขนกลางปีกด้านนอก เส้นนอกๆ มีแต้มสีขาวกว้างๆ ตอนปลาย เวลานกกางปีกออก จึงเห็นชายปีก ของมันเป็นสีขาว ชัดเจน ขนหางคู่บนเป็นสีดำทั้งเส้น แต่ขนหางคู่อื่นๆ มีสีดำตอนโคนราว 2 ใน 3ส่วนของขนหางแต่ตอนปลายที่เหลือ เป็นสี ขาว ถ้ามองดูทางด้านล่าง จะเห็นเป็นโคนหางสีดำ ปลายหางสีขาว ยกเว้น นกแก๊กพันธุ์ใต้ Southern Pied Hornbill (A.a. convexus) ซึ่งมีขนหางเส้นนอกสุด เป็นสีขาวทั้งเส้นหน้าอกส่วนล่าง ท้อง เรื่อยไปจนถึงขนคลุมใต้โคนหาง และ ขนคลุมขาท่อนบนเป็น สีขาว มีหนังเปลือยเปล่า รอบดวงตา และ ที่แก้มตอนล่าง เป็นสีฟ้าจางๆ แต่มักเห็นเป็นสีขาว ม่านตาสีน้ำตาลเข้ม ขา และ นิ้วเท้าสีดำ ปาก และคาสค์ สีขาวแบบสีงาช้าง แต่นกตัวผู้มีคาสค์ใหญ่กว่า มีแต้มสีดำที่คาสค์ และ ปากน้อยกว่า นกตัวเมียนอกจากนี้ นกตัวเมีย ยังมีแต้มสีน้ำตาลแกมแดงคล้ำๆ ถัดจากแต้มสีดำที่โคนปาก อีกด้วย
การจำแนกนกแก๊ก ตัวผู้และตัวเมีย อาจใช้วิธีสังเกตย่อๆ ดังนี้คือ ตัวผู้ มีจงอยปาก และโหนกสีขาว งาช้างและ มีสีดำแต้มด้านหน้าของโหนก,ตัวเมีย มีโหนกเล็กกว่า และ มีสีดำแต้มเปรอะทั้งโหนก และ ปากจนดูมอมแมม ตัวที่ยังโตไม่เต็มวัย คล้ายตัวเต็มวัย แต่มีโหนกเล็กกว่า สีบริเวณปาก จะค่อยๆ ปรากฎชัด เมื่อนกมีอายุมากขึ้น
นิสัยประจำพันธุ์ ปกติ นกแก๊ก ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ มันจะพากันบินออกไปหากินในตอนเช้า และกลับมานอนบนต้นไม้เดียวกันในตอนพลบค่ำเป็นประจำทุกวัน มันเคยเกาะนอนอยู่บนต้นไม้ไหน ก็บินกลับมานอนต้นไม้ต้นเดิมเสมอ เมื่อฟ้าสางแล้ว นกแก๊ก จะพากันบินออกจากต้นไม้ ที่มันเกาะหลับนอน เพื่อไปหากินมันจะทยอยกันบินออกไปทีละตัวสองตัวจนหมดแต่ละตัวจะบินอยู่ห่างๆกัน เมื่อเราเห็น ตัวหนึ่งบินผ่านไป เราก็มักจะเห็นอีกตัว หรือ สองตัว บินตาม ตัวหน้า ไปเสมอๆ เรามักจะเห็นมันบินข้าม ถนน ที่เรากำลังเดินอยู่ ไปทีละตัวสองตัว จนหมดทั้งฝูง โดยเราจะได้ยิน เสียงร้อง ของมัน ก่อนที่จะได้เห็น ตัวของมันเสมอ ในเวลาบิน ในบางครั้งก็เห็นมันบินจาก ยอดไม้ยอดหนึ่ง ไปยัง อีกยอดหนึ่ง ทีละตัว สองตัว จนหมดฝูงไม่ค่อยเห็นมันบินผ่านที่โล่งๆกว้างเท่าใดนักในเวลาบินจะเห็นเป็นนกสีดำหัวโตๆ ที่ใต้ท้องขาว และ ชายปีกขาวนกแก๊ก จะพากันบินออกไปหากิน ไกลจากต้นไม้ที่มันเกาะหลับนอนในตอนกลางคืนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามต้นไม้ที่มีผลไม้สุก และ โดยเหตุที่ ต้นไม้ต่างๆ จะมีผลสุกไม่พร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ นกแก๊ก จึงมีผลไม้สุก เป็นอาหารได้ตลอดทั้งปี ผลไม้สุกที่มันชอบ มากก็คือ ผลไทร และ มะเดื่อ ซึ่งเป็นพืชในสกุล Ficus เมื่อถึงฤดูกาลที่มีผลไม้สุก เราจึงมักจะเห็น นกแก๊ก มารวมกันบนต้นไม้เหล่านั้นเป็นจำนวนมาก และ ในเวลาที่ นกแก๊ก พากันมากินผลไม้สุก นกชนิด อื่นๆ ที่กินผลไม้เช่น นกโพระดก นกเขียวคราม ก็จะพากันหลบไปหมด เพราะกลัว นกแก๊ก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า และ ก้าวร้าวกว่า ผลไม้เหล่านี้มักจะอยู่ตรงปลายๆกิ่งของต้นไม้ แต่เนื่องจาก นกแก๊ก มีน้ำหนักตัวมาก มันจึงต้องค่อยๆ กระโดดไปยังปลายกิ่ง อย่างงุ่มง่าม ในขณะกระโดด มันจะหุบปีกแนบกับลำตัวไว้ กิ่งไม้ที่อ่อน มักยวบยาบไปตามแรงกระโดดของมันเสมอ แต่ปาก ของมันยาว จึงใช้ปลายปากปลิดผลไม้สุก เอามากินได้เสมอ เมื่อคาบผลไม้ได้แล้ว มันจะโยนขึ้นไปในอากาศ หน่อยหนึ่ง แล้งจึงใช้ปากงับ แล้วกลืนลงลำคอทันที เหตุที่มันต้องโยนผลไม้ขึ้นไปในอากาศก่อน เพราะลิ้นของมันสั้น ใช้ตวัดผลไม้ เข้าลำคอไม่ได้ ผลไม้ที่ถูกกลืนเข้าไปในกระเพาะทั้งลูกนั้น เฉพาะเนื้อรอบๆเมล็ด เท่านั้น ที่จะย่อยเป็นอาหารของมัน ส่วนเปลือก แข็งๆ และ เมล็ดจะถูกถ่ายออกมา พร้อมกับมูลของมัน
อาหารนกแก๊กกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์เช่นเดียวกับนกเงือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกไม้ สัตว์เลื้อยคลาน และนกขนาดเล็ก มีลีลาการกินอาหารอันเป็นที่จดจำสำหรับผู้พบเห็น โดยมันจะโยนอาหารขึ้นไปกลางอากาศแล้วอ้าปากรับ มักรวมฝูงใหญ่เพื่อหลับนอนในช่วงพลบค่ำ
การสืบพันธุ์นกแก๊ก ก็เช่นเดียวกับนกเงือกอื่นๆ คือ จับคู่กันมากกว่า 1 ฤดูผสมพันธุ์ คือ อาจ จับคู่เดิมในฤดูถัดไปได้ นกที่จับคู่ได้แล้วจะพากันแยกออกจากฝูง เพื่อหาโพรงไม้ใช้ทำรัง และ วางไข่ มักจะเป็นโพรงรังที่มันเคยมาวางไข่แล้วในปีที่ผ่านมา ถ้าโพรงไม่ชำรุดหรือถูกสัตว์อื่นแย่งรังไปเสียก่อน เช่น หมาไม้ ชะมด อีเห็น ตัวเงินตัวทอง เป็นต้น นกแก๊ก เริ่มผสมพันธุ์ และทำรังวางไข่ในตอนปลายเดือน กุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนมีนาคม กว่าลูกนกจะเจริญเติบโตพอที่จะเริ่มหัดบินได้ก็จะอยู่ในราวเดือน พฤษภาคม หรืออาจถึงต้นเดือนมิถุนายน หรือเวลาราว 92 วัน นกตัวผู้จะบินไปเลือกโพรงไม้ และชักชวนให้นกตัวเมียเข้าไปสำรวจดูด้วยถ้าโพรงนั้นก้นโพรงไม่ทรุด ก้นโพรงอยู่ต่ำกว่า ปากโพรงไม่มาก และ ปากทางเข้าไม่กว้างเกินไปนัก นกตัวเมียจึงจะยอมรับ โพรงไม้นี้อาจเกิดจากธรรมชาติ หรือ ที่นกหัวขวานเจาะไว้ อาจเป็นรังเดิมหรือโพรง ที่นกหัวขวาน เจาะหาอาหารไว้เดิม นกแก๊ก ขนาดตัวเล็กกว่านกเงือกชนิดอื่นๆ โพรงจึงหาได้ง่ายกว่า นกเงือก ชนิดอื่นถ้าปากโพรงเล็กเกินไป นกแก๊ก อาจใช้ปากจิกเนื้อไม้ที่ผุพัง ปากโพรงให้กว้างขึ้นอีก พอที่มันจะเข้าไปได้ ภายในโพรงมักกว้างราว 37 ซม. ยาวราว 46 ซม. สูงราว 150 ซม. ปากโพรงมักกว้างราว 10 ซม. ยาวราว 25 ซม.แต่ไม่สำคัญเท่าใดนัก ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของโพรง ที่มันเลือกมากนักไม่ได้มากกว่า แต่โดยเฉลี่ยจะต้องอยู่ในเกณท์ที่ว่าไว้ โพรงรังมักอยู่ในระดับต่ำหรือ สูงไม่เกินระดับกลางของเรือนยอด นกเงือกอื่นๆจะใช้โพรงของต้นไม้สด แต่นกแก๊ก อาจใช้โพรงในต้นไม้ที่ยืนต้นตายแล้วก็ได้ เมื่อ นกตัวเมียตกลงเลือกโพรงรังที่ตัวผู้เสาะหามาได้แล้ว มันจะเข้าไปในโพรงรัง แล้วใช้ด้านข้างของปากตีส่วนผสมวัสดุ ทำรังเข้ากับปากโพรง ส่วนที่กว้างที่สุด วัสดุที่ใช้ปิดปากโพรง ได้แก่มูลของนกตัวเมีย ผสมกับผลไม้ที่มียาง ที่มันสำรอกออกมา เศษไม้ผุ ผสมกับดินโคลนที่นกตัวผู้ไปคาบเอามาส่งให้ โดยใช้ด้านข้างของปาก ตีแปะเข้ากับด้านข้าง ส่วนที่กว้างที่สุดของโพรง การปิดปากโพรง อาจใช้เวลาราว 3 - 7 วัน ขึ้นอยู่กับความกว้างเดิมของปากโพรง สุดท้ายจะเหลือปากโพรงแคบๆ พอที่มันจะแทรกตัวเข้าไปได้ เท่านั้น ระหว่างปิดปากโพรง นกตัวผู้จะทำการผสมพันธุ์ จากนั้น นกตัวเมีย จะเข้าไปขังตัวเอง ในโพรง และปิดปากโพรงให้แคบลง เหลือเพียงช่องแคบๆ พอที่จะยื่นปากออกมา รับอาหารได้เท่านั้น วัสดุที่ใช้ ปิดปากโพรง เมื่อแห้งแล้ว จะค่อนข้างแข็ง เมื่อนกตัวเมีย ปิดปากโพรงให้แคบแล้วมันจะเริ่มวางไข่ โดยวางไข่ ครอกละ 1 - 2ฟอง ไข่ค่อนข้างกลม เปลือกไข่สีขาว ระหว่างกกไข่ แม่นกจะผลัดขนปีก และหาง นกแก๊ก ใช้เวลากกไข่ราว 25 -27 วันไข่จึงฟักออกเป็นตัว นกตัวผู้ จะทำหน้าที่หาอาการมาป้อนนกตัวเมียและ ลูกนกในโพรง ตั้งแต่ในเวลาที่นกตัวเมียเข้าไปในโพรง รังเพื่อขังตัวเอง จนกระทั่งลูกนกโตพอพร้อมที่จะออกจากโพรงรังได้ ด้วยเหตุนี้ นกตัวผู้จึงมักผอม และไม่ค่อยแข็งแรง เพราะขาดอาหาร ในขณะที่นกตัวเมีย และ ลูกนกจะอ้วนท้วน นกตัวผู้จะส่งอาหารให้นกตัวเมีย และ ลูกนก ทางช่องแคบๆ ที่เหลือไว้โดยแหย่ปลายปาก เข้าไปส่งถึงปากนกตัวเมียในโพรงรังเลยทีเดียว ถ้าเป็นสัตว์ เช่น กระรอก งู กิ้งก่า นกโพระดก นกเขียวคราม จักจั่น หนู ค้างคาว มันจะใช้ปากกัดย้ำ หรือฟาดกับกิ่งไม้จนตายเสียก่อนจึงส่งให้ แต่ถ้าเป็นผลไม้ มันจะขยอกออกมาจากกระเพาะพักที่อยู่ข้างหลอดอาหาร ออกมาป้อนให้ ซึ่งครั้งหนึ่งกว่า10 ผล ทีเดียว โดยมันจะป้อนอย่างบรรจงให้ทีละผล ตัวเมีย และ ลูกนก ที่อยู่ในโพรง จะรักษาความสะอาดของโพรง ดีมาก เวลาถ่ายมูลมันจะหันก้นไปทางปากรังและถ่ายพุ่งปรี๊ดออกไปนอกรัง ตามโคนต้นไม้ ที่มีลูกนกเงือก จึงมีมูล และต้นอ่อนของไม้ผลที่นกเงือกใช้ป้อนลูก งอกอยู่มาก เมื่อลูกนกเจริญเติบโตเต็มที่ แม่นกและลูกนกจะกะเทาะวัสดุที่ปิดปากโพรงออก โดยนกตัวผู้จะช่วยกะเทาะปากโพรงด้วย ระหว่างนี้ นกแก๊ก จะส่งเสียงเอะอะมากทีเดียว เป็นการเร่งให้ลูกนกออกจากรังเร็วขึ้น เมื่อออกจากรังใหม่ๆ นกตัวเมีย จะอ้วนมาก ปีก และ หางยังงอกไม่เต็มที่ ต้องหัดโผบิน พร้อมๆกับลูกนก จากนั้นจึงพาทั้งครอบครัว ไปรวมกับฝูงเดิมของมัน ลูกนกแก๊กที่โตแข็งแรงหาอาหารได้เองบ้างแล้ว จะมีสังคมวัยรุ่นของมันเองอาจยังคงอยู่รวมกับฝูงครอบครัวเดิม หรือ ไปอยู่กับครอบครัวใหม่ แต่ยังคงจับกลุ่มหากินร่วมกับนกแก๊ก ที่วัยใกล้เคียงกับพ่อแม่นกอาจยังคงตามป้อนอยู่ระยะหนึ่ง จนเข้าฤดูผสมพันธุ์รอบใหม่จึงทิ้งให้ลูกนกหากินเอง มีข้อสังเกตว่าปกติ นกแก๊ก เป็นนกเงือกที่ส่งเสียงเอะอะมากในเวลานอกฤดูผสมพันธุ์ แต่ในช่วงเลี้ยงลูกนก เราแทบจะไม่ได้ยินเสียงของ นกแก๊กเลย แม้แต่เสียงที่พ่อนกบินเข้ามาที่รังก็แทบจะไม่ได้ ยินเสียงเว้นแต่จะเงี่ยหูตั้งใจฟังจริงๆ
ถิ่นอาศัย นกเงือกทุกชนิดเป็นนกประจำถิ่น แต่ก็มีการพบว่าพวกมันอพยพย้ายถิ่นเป็นระยะทางใกล้ๆด้วยในบางฤดูกาล นกแก๊กเป็นนกเงือกที่พบได้บ่อยตามป่าดิบในระดับความสูงไม่เกิน 1,400 เมตรจากน้ำทะเล และป่าบนเกาะ ตั้งแต่อินเดีย ตอนใต้ของจีน ไปจนถึงอินโดนีเซีย ถึงมันจะมีขนาดเล็กสำหรับนกเงือกแต่ก็ตัวใหญ่กว่านกป่าทั่วไป เราสามารถได้ยินแม้แต่เสียงกระพือปีกของนกชนิดนี้หากมันบินผ่านในระยะที่ไม่ไกลมาก!
สำหรับประเทศไทย นกแก๊ก เป็นนกประจำถิ่นที่พบค่อนข้างบ่อย ทุกภาคของประเทศไทย (ยกเว้นภาคกลาง และ ส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) รวมทั้งเกาะชายฝั่งต่างๆด้วย เช่น เกาะสมุย เกาะเสม็ด เกาะตะรุเตา ในประเทศไทย พบทั้ง 2 ชนิดย่อย ซึ่งมีการแพร่กระจายต่อเนื่องกัน โดย ชนิดย่อยพันธุ์เหนือ ( Northern Pied Hornbill ) A. a. albirostris จะพบทั่วไป ยกเว้นทางใต้สุดของไทย ส่วน นกแก๊กพันธุ์ใต้ ( Southern Pied Hornbill ) A.a. convexus ส่วนมากจะพบทางใต้สุดติดกับ ชายแดนมาเลเซียทางคาบสมุทร มาลายู และ ตามเกาะต่างๆของไทย ที่มีป่าดิบชื้นภายในเกาะ โดยทั่วไป นกแก๊ก จะพบอาศัยอยู่ในป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าผสมผลัดใบ และ ป่าชั้นรอง ตั้งแต่ป่าในที่ราบ ไปจนถึงป่าดิบเขาในระดับความสูง 1,400 เมตร แต่จะพบในป่าโปร่ง และ ชายป่าได้บ่อยกว่า นกเงือกชนิดอื่นๆ,ในภาคใต้พบตามป่าที่ราบต่ำ สองฝั่งลำน้ำ และ ลำธารในป่า ป่าชายฝั่งทะเล และ ป่าตามเกาะขนาดใหญ่ด้วย นกเงือกทุกชนิดไม่แต่ นกแก๊ก มีบทบาทสำคัญต่อความสมดุลของระบบนิเวศ ของป่าดิบเมืองร้อน โดยมีบทบาท เด่นชัดในการเป็นผู้แพร่กระจาย เมล็ดพันธุ์ไม้และช่วยควบคุมประชากรสัตว์เล็ก ในฐานะผู้ล่า ในบางประเทศ นักพฤกษศาสตร์ ได้ศึกษา ป่าที่นกเงือกหายไป พบว่าต้นไม้บางชนิด เริ่มลดลง เพราะไม่มีนกเงือก ช่วยกระจายพันธุ์ป่าใกล้กรุงเทพฯ ที่หาดู นกแก๊ก ได้ค่อนข้างง่าย และ ไม่ตื่นคน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานฯแก่งกระจาน เขตรักษาพันธุ์ฯ ห้วยขาแข้ง โดยมองหาต้นไม้จำพวกไทร และ มะเดื่อ ที่มีผลไม้สุกก็จะพบได้โดยง่าย
รูปตัวอย่าง
 http://www.siamphoenix.com/2008/htdocs/uploads/newbb/2_48171f3aede56.jpg http://dewpawat.files.wordpress.com/2012/02/381080.jpg
6.นกเงือกดำ (BlackHornbill) เป็นนกเงือกขนาดเล็กในวงศ์นกเงือกพบในประเทศบรูไนอินโดนีเซียมาเลเซีย,สิงคโปร์, ไทย, อินเดีย
นกเงือกดำมีความยาวจากปลายปากถึงปลายหาง 75-80 ซม. นกตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่านกตัวเมียเล็กน้อย ลำตัวสีดำโดยตลอด ลำตัวส่วนบนเหลือบน้ำเงินเขียวเล็กน้อย (นกตัวผู้บางตัวมีแถบใหญ่เหนือตาคล้ายคิ้วสีขาว) เว้นแต่ปลายขนหางด้านนอก และหางด้านล่างค่อนไป ทางปลายเป็นสีขาว สันบนของจะงอยปากมีขนาดใหญ่ ขาและนิ้วเท้าสีดำ สองเพศมีลักษณะต่างกัน นกตัวผู้ปากและโหนกสีเหลืองอ่อน หนังเปลือยเปล่ารอบตาและที่ใต้คอสีดำ ตาสีแดงเข้ม นกตัวเมียปากและโหนกสีดำ ม่านตาสีส้ม หนังเปลือยเปล่ารอบตาสีเนื้อ หนังเปลือยเปล่าใต้คอสีเหลืองอ่อน ตาสีน้ำตาลแดง
รูปตัวอย่าง
     http://img.kapook.com/image/travel/%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%8114.jpg http://picpost.mthai.com/pic/10684/166867.jpg

7.นกเงือกสีน้ำตาลคอขาว (Austen's Brown Hornbill) เป็นนกเงือกที่พบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียและภาคใต้ของจีนลงไปทางใต้จนถึงตอนใต้ของเวียดนามและภาคเหนือของไทย บ่อยครั้งที่ถูกจัดเป็นชนิดย่อยของนกเงือกสีน้ำตาล
นกเงือกสีน้ำตาลคอขาวจัดเป็นนกเงือกขนาดกลาง สีน้ำตาล มีสีขาวที่ปลายหาง ตัวผู้มีแก้มและลำคอสีขาว ปากสีครีมอ่อน ส่วนล่างสีน้ำตาลแดง ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่าตัวผู้ หัวและลำคอสีน้ำตาลหรือดำ ปากสีน้ำตาลหรือดำ กินผลไม้และสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร อาศัยอยู่กันเป็นฝูง ฝูงละ 2-15 ตัว
รูปตัวอย่าง
 http://picpost.mthai.com/pic/10684/166871.jpghttp://www.prc.ac.th/tree_an_teen/picture/r_subruficollis.jpg
8.นกเงือกปากดำ หรือ กาเขา (Bushy-crested Hornbill) เป็นนกในวงศ์นกเงือก พบในประเทศบรูไน, ประเทศอินโดนีเซีย,ประเทศมาเลเซีย, ประเทศพม่า, และประเทศไทย
นกเงือกปากดำมีขนาดเล็กกว่านกเงือกหัวหงอก ยาวจากปลายปากถึงปลายหาง 89 ซม.[1] หนังเปลือยเปล่ารอบตาและที่ใต้คอสีฟ้า มีแต้มสีขาวที่ใต้ตาและมุมปาก ม่านตาสีแดง แก้มสีเทา ขนที่ท้ายทอยมีขนาดใหญ่และยาวออกไป ทำให้แลดูคล้ายขนหงอนที่เกาะกันหลวมๆ ลำตัวสีดำปลอด ปีกสีน้ำตาลไหม้ หางสีน้ำตาลปนเทา แต่ปลายหางสีดำ คาง ใต้คอ และอกสีน้ำตาลไหม้ ท้องและขนคลุมใต้โคนหางสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา สองเพศมีลักษณะแตกต่างกัน ตัวผู้ปากและโหนกสีดำ ขาและนิ้วเท้าสีน้ำตาลไหม้ นกตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า ปากบนมีเส้นสีเหลืองตามความยาวของปาก ปากล่างมีสีเหลืองที่ปลายปาก ขาและนิ้วเท้าสีเทาแกมฟ้า
รูปตัวอย่าง
http://igetweb.com/www/kularbly/gallery/574801.jpg


9.นกเงือกกรามช้าง (Wreathed Hornbill หรือ Bar-pouched Wreathed Hornbill) เป็นนกในวงศ์นกเงือกพบในป่าจากทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียและประเทศภูฏาน, ทางตะวันออกและใต้จนถึงกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะซุนดา ยกเว้น เกาะซูลาเวซี นกเงือกกรามช้างยาว 75–100 ซม. เพศผู้หนัก 1.8-3.65 กก. เพศเมียหนัก1.36-2.7 กก. ทั้งสองเพศมีลักษณะต่างกัน ซึ่งคล้ายกันกับญาติใกล้ชิดของมันคือนกเงือกกรามช้างปากเรียบ แต่นกเงือกกรามช้างมีขีดสีเข้มที่คอส่วนล่าง (จึงเป็นที่มาของชื่อ Bar-pouched)
นกเงือกกรามช้างยาว 75–100 ซม. เพศผู้หนัก 1.8-3.65 กก. เพศเมียหนัก 1.36-2.7 กก. มีโหนกเป็นลอนหยักบริเวณด้านบนของปาก ปากด้านข้างเป็นรอยสัน ทั้งสองเพศมีลักษณะต่างกัน เพศผู้มีถุงใต้คอสีเหลืองขีดดำสองข้าง เพศเมียมีถุงสีฟ้า ลำตัวสีดำปลอด หางมีสีขาว
รูปตัวอย่าง
http://www.westernforest.org/images/th_zoborozec_detail_1024.jpghttp://www.siamphotography.com/_album/2009/02/1235458843-218-382.jpg


10.นกเงือกคอแดง พบในเนปาล จีนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พม่า บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย ภาคเหนือของลาวและเวียดนามตอนเหนือ  เป็นนกเงือกที่มีขนาดลำตัวยาว 116 เซนติเมตร ทั้งสองเพศมีลักษณะแตกต่างกัน นกตัวผู้มีส่วนหัว คอและหน้าอกส่วนบนสีสนิมเหล็ก หน้าอกส่วนล่างสีน้ำตาลแดง หลังส่วนล่างและปีกสีดำเหลือบเขียว ขนปีกบินตอนปลายสีขาว หางยาวสีดำขาว ม่านตาสีแดง แผ่นหนังรอบตาสีฟ้าอมเขียวสดใส ถุงใต้คอสีแดงอมส้ม จะงอยปากสีขาวออกเหลืองเรื่อๆ ด้านข้างมีสันนูนขึ้นเป็นแนวเฉียงจำนวน 8 อัน นกตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า ขนบนลำตัวสีดำโดยตลอด
อุปนิสัย หากินผลไม้บนระดับเรือนยอดของป่า บางครั้งพบกระโดดเก็บผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน เสียงร้องคล้ายเสียงเห่าของสุนัข ในประเทศไทยพบทำรังวางไข่ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม นกเงือกทำรังบนโพรงไม้สูงราว 10-30 เมตร จากพื้นดิน นกตัวเมียจะปิดโพรงจากภายในโดยใช้มูล เศษผลไม้และอาหารที่นกสำรอกออกมาผสมกันดินโคลนที่นกตัวผู้นำมา วางไข่สีขาวครั้งละ 2 ฟอง ระยะฟักไข่ประมาณ 30 วัน นอกฤดูผสมพันธุ์นกเงือกคอแดงจะอยู่กันเป็นคู่ๆ หรือเป็นฝูงเล็กๆ 4-5 ตัว อาศัยอยู่ในป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 800-2,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
สถานภาพ เป็นนกที่จะต้องอาศัยป่าดงดิบเขาที่สมบูรณ์ในการดำรงชีวิต มีจำนวนประชากรในธรรมชาติน้อย พบในบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ห้วยขาแข้ง และทุ่งใหญ่นเรศวร ปัจจุบันนกเงือกคอแดง จัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1
สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ การหักล้างถางป่าและการทำไม้มีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตของนกเงือกชนิดนี้ ขนาดต้นไม้ที่นกชอบทำรังมีขนาดพอเหมาะในการเป็นไม้ก่อสร้าง นกเงือกยังถูกล่าเป็นอาหารและนำไปเป็นนกเลี้ยง จึงทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้การแก่งแย่งชิงโพรงไม้ที่เคยเป็นรังเก่าระหว่างนกเงือกชนิดเดียวกันและต่างชนิดกันก็เป็นสาเหตุตามธรรมชาติที่มีผลต่อการขยายพันธุ์วางไข่เช่นเดียวกัน
รูปตัวอย่าง
http://dewpawat.files.wordpress.com/2012/01/101408324.jpghttps://encrypted-tbn1.google.com/images?q=tbn:ANd9GcQvplso63p14rOA-3It41nQl825wqwDFIpGUIB5G1pbGP4CQvxfgA


11.นกเงือกสีน้ำตาล (Brown Hornbill)
เป็นนกเงือกที่มีขนาดใกล้เคียงกับนกแก๊ก จงอยปากสีขาวงาช้าง มีโหนกเป็นสันเล็กๆ ตัวผู้มีสีด้านบนของลำตัว หัว และท้ายทอย เป็นสีน้ำตาล ด้านใต้ลำตัวสีน้ำตาลแดง ปลายปีกมีสีขาว คางคอและด้านข้างของคมมีสีขาว ปลายขนหางมีสีขาวยกเว้นขนหางสองเส้นตรงกลางซึ่งมีสีน้ำตาลตลอด ตัวเมียมีด้านบนลำตัวน้ำตาลเข้ม เช่นเดียวกับหัว ส่วนด้านใต้ลำตัวมีสีน้ำตาลเทาออกคล้ำกว่าตัวผู้
  นกเงือกสีน้ำตาลมี ๒ ชนิดพันธุ์ย่อย (Subspeciees) คือนกเงือกสีน้ำตาลที่พบทางผืนป่าตะวันตก (P. tickelli tickelli) และบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (P. tickelli austeni) ตัวผู้มีลักษณะต่างกันเล็กน้อย ชนิดพันธุ์ย่อยที่พบแถบป่าตะวันตก มีขนใต้ลำคัวสีน้ำตาลแดง ส่วนชนิดพันธุ์ย่อยที่พบที่เขาใหญ่ มีขนบริเวณคาง คอ และด้านข้างคอเป็นสีขาว แต่ที่ต่างกันชัดเจนคือ นกเงือกสีน้ำตาลตัวเมียที่พบทางป่าตะวันตกมีปากสีดำ ส่วนที่เขาใหญ่ปากสีเดียวกับตัวผู้
  ปัจจุบันได้จัดชนิดพันธุ์ย่อยทั้งสองขึ้นเป็นสองชนิดพันธุ์ คือ Ptilolaemus tickelli tickelli เป็น Anorrhinus tickelliและ Ptilolaemus tickelli austeni เป็น  Anorrhinus austeni จึงทำให้ประเทศไทยมีนกเงือก ๑๓ ชนิด
  นอกฤดูผสมพันธ์นกเงือกสีน้ำตาลจะอยู่เป็นฝูงเล็กๆ ๘-๑๐ ตัว หรือมากกว่า เป็นนกที่ชอบร้องเอะอะโวยวายเหมือนนกแก๊ก แต่เสียงกรี๊ดมากกว่า เสียงร้องของนกเงือกสีน้ำตาลมีหลายเสียง เช่น แว๊ว ๆ ๆ กรี๊ด ๆ ๆ ต๊อ ๆ ๆ
อาหาร : นกเงือกสีน้ำตาล ชอบกินผลไม้ได้แก่ผลไทร ตาเสีอ ยางโดน พิพวน หว้า ส้มโมง แต่เวลาเลี้ยงลูกจะป้อนอาหารพวกสัตว์เล็กๆ คือประมาณ ๔๐ % ของปริมาณอาหารทั้งหมด เช่น จิ้งเหลน จิ้งก่า กิ้งกือ ตะขาบ และแมลงที่ชอบมากได้แก่ จั่กจั่น นกเงือกสีน้ำตาลกินอาหารจำพวกสัตว์ มากกว่านกเงือกชนิดอื่นและที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ
   ในฤดูทำรังจะมีตัวผู้ที่ไม่ได้จับคู่ ในฤดูผสมพันธ์นั้น มาช่วยเป็นพ่อเลี้ยง (co-operative breeding) เมื่อเวลาเข้าป้อนบรรดาพ่อเลี้ยงทั้งหลาย จะเรียงแถวกันคอยป้อนเป็นลำดับ เป็นภาพที่น่าดูมาก พ่อเลี้ยงเหล่านี้เชื่อว่าเป็นลูกของนกคู่ผัวเมีย
ถิ่นอาศัย : นกเงือกสีน้ำตาลพบได้ทั้งป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ป่าดงดิบเขา หรือแม้แต่ป่าเต็งรัง ( A. tickelli) กระจายอยู่แถบภาคตะวันตกเรื่อยลงมาถึงบริเวณป่าจังหวัดชุมพร นกเงือกสีน้ำตาลที่พบบริเวณเขาใหญ่และทางตะวันตกจะมีลักษณะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย โดยที่นกเงือกสีน้ำตาลที่พบทางป่าตะวันตกนั้นตัวเมียมีปากสีดำ แต่ที่เขาใหญ่ ตัวเมียปากสีเดียวกับตัวผู้
   ในป่าทางภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ป่าแก่งกระจาน หรือป่าห้วยขาแข้ง และในประเทศพม่า จะพบชนิดย่อยของนกเงือกสีน้ำตาล (Brown Hornbill) ซึ่งจะมีส่วนล่างลำตัวเป็นสีน้ำตาลแดงตลอด นักปักษีบางท่านจัดนกเงือกสีน้ำตาลชนิดย่อยนี้เป็นนกเงือกอีกชนิดหนึ่ง
การทำรังและเลี้ยงลูก : ตัวเมียปิดขังตัวเองราวเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคม ลูกนกออกจากโพรงรังราวเดือนพฤษภาคม มักพบทำรังในต้นยาง (Dipterocarpus spp.) หว้า สีเสียดเทศ กะเพราต้น นอกจากพ่อนกแล้วยังมีตัวผู้ที่ไม่ได้จับคู่ในฤดูผสมพันธุ์นั้น มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงหรือนกผู้ช่วย (nest helper) จัดเป็นการเลี้ยงลูกแบบ cooperative care ซึ่งนกพี่เลี้ยงอาจมีจำนวน ๑-๕ ตัว เวลาเข้าป้อนอาหาร บรรดาพี่เลี้ยงทั้งหลายจะเรียงแถวกันคอยเข้าป้อนเป็นลำดับ เป็นภาพที่น่าดูมาก เชื่อว่าพี่เลี้ยงเหล่านี้เป็นลูกของนกคู่ผัวเมียในปีก่อนๆ
รูปตัวอย่าง
http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQFzJ4wlQW508CsXVVQjnxfD6QKu63j0SmWrpI3436g40R4wRexVQcCziMoxQhttps://encrypted-tbn0.google.com/images?q=tbn:ANd9GcRzfcKeEejsplAUhu5gcgZUiUhm_IzpFO6C-Z7JPKe5AY9-l0Xx

12.นกเงือกปากย่น นกเงือกขนาดลำตัวยาว 81 เซนติเมตร นกตัวผู้ลำตัวสีดำโดยตลอด เว้นบริเวณหัวและคอมีสีขาว ขนหางตอนปลายสองในสามส่วนสีขาว ขนบนกระหม่อมและหงอนสีดำ ถุงใต้คอสีขาว จะงอยปากสีเหลือง ตอนโคนสีแดงเรื่อๆ สันบนจะงอยปากด้านบนสีแดง นกตัวเมียสีขนสีดำตลอดตัว ถุงใต้คอสีน้ำเงินอมเขียวหรือสีน้ำเงิน หนังรอบตาสีน้ำเงิน
อุปนิสัย หากินเหนือเรือนยอดไม้ มักพบอยู่โดดเดี่ยวหรือเป็นฝูงเล็กๆ เคยมีผู้พบอยู่เป็นฝูงจำนวนมากถึง 20 ตัว ชีวิตของนกเงือกชนิดนี้รู้จักกันน้อยมาก เสียงร้องแตกต่างกันเป็น 3 แบบ คือ เสียงร้องตามปกติ เสียงร้องในขณะบิน และเสียงร้องเวลาตกใจ อาศัยอยู่ตามป่าต่ำชายฝั่งทะเล มีการแพร่กระจายตั้งแต่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย มลายู สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และเกาะซูลาเวสซีของอินโดนีเซีย
ปัจจุบันไม่มีรายงานพบนกเงือกชนิดนี้ในเขตคุ้มครองแต่อย่างใด จึงอาจจะคงเหลืออยู่เป็นจำนวนน้อยมากตามเกาะในทะเลหรือหมดสิ้นไปจากประเทศไทยแล้ว อีกทั้งประเทศไทยอยู่เป็นจุดเหนือสุดของเขตแพร่กระจายของนกชนิดนี้อีกด้วย
สาเหตุของการใกล้สูญพันธ์ จำนวนป่าที่สมบูรณ์ในแถบภาคใต้ของประเทศไทยได้ถูกทำลายลงทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าที่ราบต่ำซึ่งเป็นแหล่งอาศัยหากินของนกเงือกปากย่น
รูปตัวอย่าง
http://picpost.mthai.com/pic/10684/166878.jpg


13.นกเงือกกรามช้างปากเรียบ  พบทางทิศตะวันตกของประเทศไทยพม่าตอนใต้และประเทศมาเลเซีย
นกเงือกชนิดนี้มีขนาดลำตัวยาว 89 เซนติเมตร ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายนกเงือกกรามช้างแตกต่างกันตรงที่มีขนาดลำตัวเล็กกว่า โคนจะงอยปากทางด้านข้างไม่มีสันเป็นรอยย่น จึงดูเรียบเหมือนกันโดยตลอดจะงอยปาก ถุงใต้คอไม่มีแถบสีดำพาดตามขวาง นกตัวผู้จะมีหน้าและคอสีขาว หัวและหงอนสีน้ำตาลแดง ถุงใต้คอสีเหลือง นกตัวเมียมีขนตลอดตัวสีน้ำเงินและถุงใต้คอสีฟ้า ทั้งสองเพศมีส่วนหางสีขาว
อุปนิสัย ปกติอยู่รวมกันเป็นฝูงๆ ละ 6-20 ตัว หรือจำนวนมากกว่านี้ เวลาบินจะมีเสียงดังสามารถได้ยินในระยะไกลๆ และบินไปหากินได้เป็นระยะทางไกล บางครั้งพบหากินบนพื้นดิน อาหารได้แก่ ผลไม้ และหอยทาก การทำรังในประเทศพม่าพบในราวเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม วางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ในโพรงที่ใช้ดินโคลนปิด เสียงร้องมักจะแหบๆ สั้นๆ
ที่อยู่อาศัยเป็นนกประจำถิ่นที่ไม่พบบ่อยนัก พบอาศัยอยู่ในป่าสูงถึงประมาณ 900 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปัจจุบันพบนกเงือกกรามช้างปากเรียบอาศัยอยู่ในเขตคุ้มครอง 2 แห่งเท่านั้น นกชนิดนี้จึงถูกจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองประเภทที่ 1
สาเหตุของการใกล้สูญพันธุ์ เนื่องจากการบุกรุกป่า การตัดไม้ทำลายป่า และการล่านกชนิดนี้เพื่อใช้เป็นอาหาร เป็นสาเหตุที่ทำให้นกลดจำนวนลงอย่างมากจนประชากรในธรรมชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนน้อยสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว
รูปภพตัวอย่าง
http://www.shutterphoto.com/forums/attachment.php?attachmentid=60746&stc=1&d=1276007653http://www.siamensis.org/sites/default/files/jungo-the-horn-bill-01.jpg?1290013270

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น